เรื่องสั้น-กุหลาบในความทรงจำ (ของผม)
- svettaporn iresuriyaakesakul
- 6 วันที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
ตึก ตึก ตึก
ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมคอยฟังเสียงฝีเท้าของทุกคนในบ้าน พยายามเค้นความทรงจำให้ได้ว่าเสียงฝีเท้าที่รอนั้นเป็นของใคร...
แต่มันไม่ใช่ของคนในบ้าน...ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของภรรยาผม ไม่ใช่ของลูกชายทั้งสองคน
ตึก ตึก ตึก
ผมหันกลับไปยิ้ม เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเดินมาทางด้านหลัง ภรรยาของผมพึ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากไปส่งเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่โรงเรียน
กึก
เธอชะงัก ไม่ยิ้มตอบ แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นและเดินหนีไปอย่างเฉยชา
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว!!!
ชีวิตคู่ของผมเหมือนอยู่ในอาการโคม่า ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราออกจากห้องเฝ้าระวังมาแล้วหรือยัง หรือมันยังอยู่ในนั้น ถูกพยุงด้วยเครื่องช่วยหายใจและผู้คนมากมายที่คอยจับตาดูวินาทีสุดท้ายของเรา และเมื่อพวกเขาเห็นว่าชีพจรสุดท้ายของเราขาดห้วงไป โดยไม่รีรอหรือถามไถ่ พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความสัมพันธ์ของเราถูกปั๊มกลับขึ้นมาใหม่ ด้วยเครื่องปั๊มหัวใจที่เรียกว่า “ลูก”
“ฉันขอให้เธอทำเพื่อลูก” ผมได้ยินแม่คุยกับ โรส ภรรยาของผมในคืนหนึ่ง หลังจากผมกลับมาพักฟื้นที่บ้าน จากการประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อ 7 เดือนก่อน หมอวินิจฉัยว่าผมความจำเสื่อม
ผมจำเรื่องเมื่อ 3 ปีก่อนไม่ได้...
ผมจำผู้คนในช่วง 3 ปีนั้นไม่ได้...
และผมจำความสัมพันธ์ของตัวเองกับภรรยาในช่วงเวลานั้นไม่ได้...
ที่ผมจำได้ คือรอยยิ้มสดใสอ่อนโยนของเธอที่มีให้ผมเสมอมา แต่วันนี้มันไม่มีอีกแล้ว
ไม่สิ...มันไม่มีมาตั้งแต่ที่ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ 7 เดือนก่อน
“โรส ผมถามคุณจริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา” ผมถาม ตอนที่เธอบิดตัวหนีอ้อมกอดของผมในคืนนี้
“คุณโกรธอะไรผมรึเปล่า บอกผมสิ” เธอพลิกตัวกลับมาจ้องเข้าไปในดวงตาผม เนิ่นนาน เย็นชาและอ้างว้าง เธอกระตุกยิ้มขมขื่นส่งมาให้
“คืนนี้ฉันจะไปนอนกับลูก” เธอพูด และลุกเดินหนีไปโดยไม่รั้งรอ
ผมได้แต่ถอนหายใจพลิกตัวเอามือก่ายหน้าผาก คิดไม่ตกถึงเรื่องเมื่อ 3 ปีก่อนและผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
“ฝึกฉันให้เชื่อง”
เสียงหนึ่งเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“คุณเป็นใคร”
“ถ้าเธอฝึกฉันให้เชื่อง ชีวิตของฉันจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ฉันจะจดจำเสียงฝีเท้าของเธอที่ต่างจากคนอื่น เสียงฝีเท้าของคนอื่นจะทำให้ฉันรีบลงไปซ่อนใต้ดิน แต่เสียงฝีเท้าของเธอจะทำให้ฉันรีบวิ่งออกมาจากโพรงเช่นเดียวกับเสียงดนตรี”
“คุณเป็นใคร”
“ฝึกฉันให้เชื่อง...เสียงฝีเท้าของเธอจะทำให้ฉันรีบวิ่งออกมาจากโพรง”
พรึบ
ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ผมฝันถึงประโยคพวกนี้อีกแล้ว เหมือนมีใครเคยพูดประโยคพวกนี้ให้ฟัง
“ฝึกฉันให้เชื่อง” ผมทวนซ้ำวลีในฝัน
“เสียงฝีเท้าของเธอจะทำให้ฉันรีบออกมาจากโพรง”
ผมตาค้าง นอนไม่หลับอีกต่อไป ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินประโยคในฝันพวกนี้จากที่ไหน
หรือเราจำมาจากการ์ตูนที่ดูกับเด็ก ๆ
ช่วงสองเดือนมานี้การกายภาพได้ผลดี และแผลทางกายดูจะทุเลาลงไปมากจนทำให้ผมทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้าน หลังจากผมประสบอุบัติเหตุ โรสทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องภายในบ้าน เธอไปรับส่งลูกทุกวันแทนผมที่ยังคงขับรถไม่ได้ และเธอช่วยดูแลความเรียบร้อยของสตูดิโอของผมอยู่ทางบ้าน ระหว่างที่ผมยังไม่หายดี
แต่ที่น่าแปลกคือ ทุก ๆ วันเว้นวันหลังจากส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียน โรสจะกลับมาบ้านและหายตัวออกไปอีกทั้งวัน และจะกลับมาอีกครั้งพร้อมลูกของเราที่เธอไปรับกลับมาจากโรงเรียน แต่เธอไปไหนระหว่างเด็ก ๆ กำลังเรียนหนังสือ คงไม่ได้เบื่อหน้าผมจนต้องไปนั่งรอลูกที่โรงเรียนวันเว้นวันหรอกนะ นอกจากนั้นเธอยังแอบคุยโทรศัพท์กลางดึกในทุกคืนหลังจากที่ผมและลูกเข้านอนแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราเมื่อ 3 ปีที่แล้วกันแน่...
“โรสไม่ไหวแล้วนะ โรสทนอยู่กับเขาไม่ได้” ผมได้ยินเธอพูดในคืนหนึ่ง หลังจากตัดสินใจจะสืบหาความจริงด้วยตัวเอง
“โรสทำเพื่อลูก...แต่โรสไม่รักเขาแล้ว” ผมแทบทรุดตอนที่เธอบอกว่าเธอไม่รักผมแล้ว...
“ถ้าวันนั้นเขาตาย...โรสอาจจะไม่เจ็บปวดเท่านี้”
ถ้าวันนั้นผมตาย ชีวิตคู่ของเราอาจไม่เข้าขั้นโคม่า
ถ้าวันนั้นผมตาย โรสจะไม่เสียใจเท่านี้ และเพราะวันนั้นผมไม่ตาย ผมถึงได้รู้ว่าเธอไม่มีใจให้ผมแล้ว
ผมพาเองตัวกลับไปนอนทั้งน้ำตา เหนื่อยจนไม่มีแรงจะร้องไห้ โรสหายไปไหนทุกวัน โรสโทรหาใคร
เกือบทุกคืน
หรือเธอจะมีคนอื่น...ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ลูกมีงานละครเวทีที่โรงเรียน ผมว่าจะไปดูด้วย”
“แต่คุณยังไม่หายดี”
“ผมไปได้นะโรส หมอแค่ยังไม่ให้ขับรถเฉย ๆ” เธอเม้มปาก ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ ส่วนลูกชายเมื่อรู้ว่าพ่อที่ไม่ได้ไปรับไปส่งมานานกว่า 7 เดือนจะไปดูงานละครเวทีที่โรงเรียนก็ยิ้มร่าด้วยความดีใจ
“ไงเรา แสดงละครเรื่องอะไร เล่นเป็นต้นไม้รึเปล่า ตอนเด็ก ๆ พ่อก็แสดงละคร ไม่เป็นต้นไม้ก็ก้อนหิน” ลูก ๆ ต่างพากันหัวเราะ
“ผมเล่นเป็นสุนัขจิ้งจอก” ลูกชายคนโตบอก
“ส่วนผมเล่นเป็นเจ้าชาย” ลูกคนเล็กพูดพร้อมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ลูกชายคนโตมองน้องชายด้วยความหมั่นไส้
“ก็ใช่ละสิ เจ้าชายน้อยน่ะ ไม่รู้อะไรที่สุดในเรื่องแล้ว เหมือนตัวนายนั่นแหละ” และก่อนที่สงครามขนาดย่อมระหว่างเจ้าชายและสุนัขจิ้งจอกจะเกิดขึ้น ผมก็ถามซ้ำ
“ลูกเล่นละครเรื่องอะไรกันนะครับ” ทั้งสองตอบพร้อมเพรียงกัน
“เจ้าชายน้อยฮะพ่อ”
เจ้าชายน้อย...
ผมพึ่งได้รู้ว่าประโยคในฝันมาจากหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย หนังสือเล่าเรื่องเกี่ยวกับการผจญภัยของเจ้าชายน้อยผู้มาจากดาว B612 เจ้าชายน้อยหนีดอกกุหลาบที่แสนโอ้อวดและหยิ่งทะนงของเขามา
เขาเดินทางไปยังดวงดาวต่าง ๆ และสุดท้ายเดินทางมายังโลกซึ่งเป็นที่ ๆ เขาได้พบเจอสิ่งต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะ สุนัขจิ้งจอก ประโยคในฝันที่ผมได้ยินเป็นบทสนทนาของเขาและสุนัขจิ้งจอก
เมื่อสุนัขจิ้งจอก ขอให้เจ้าชายน้อยฝึกให้ตนเองเชื่อง
“ทำให้เชื่องแปลว่าอะไร?”
“มันคือการสร้างความสัมพันธ์”
หลังจากการจากลามาถึง เจ้าชายน้อยได้พยายามเดินทางกลับไปยังดวงดาวที่เขาจากมา เพื่อกลับไปหาดอกกุหลาบที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“ผมไม่รู้ว่าสำหรับคุณ ผมเป็นสุนัขจิ้งจอกหรือดอกกุหลาบบนดาว B612”
ผมได้ยินเสียงตัวเองกำลังพูด
“คุณเป็นเจ้าชายน้อย”
อีกเสียงหนึ่งตอบ เลือนลางมาก
“แต่คุณฝึกผมจนเชื่อง”
ผมเห็นรอยยิ้มที่มุมปาก แค่รอยยิ้ม
“เราต่างเป็นใครหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน”
ผมปวดหัวจนเดินเซ พอดีกับตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักโรส เธอยิ้มให้เขาแบบที่จะไม่มีทางยิ้มให้ผมได้ในเวลานี้ ผู้ชายคนนั้นหันหน้ามาทางผม ดูตกใจนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มทักทาย ผมคุ้นหน้าเขามากแต่นึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร
“คุณเป็นใคร” ผมถาม
“...”
“ทำไมผมถึงคุ้นหน้าคุณนัก” เขายิ้มเจื่อน
“ผมหน้าโหลมั้งครับ” เขาว่าและเดินหลบไปอยู่มุมอื่น ผมพยายามเดินตามเขาไป แต่โรสเดินเข้ามาขวางไว้พอดี
“ปรินส์...คุณหน้าซีด” เธอบอก
“ผมปวดหัว”
“ฉันบอกแล้วว่าคุณไม่ควรมา” เธอพูดด้วยสีหน้ารำคาญ ซึ่งผมรู้สึกว่าเธอกำลังทำเป็นโมโหเพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“กัปตัน เพื่อนฉันเอง” ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าเพื่อนที่ไหน แต่อาการปวดหัวที่อยู่ ๆ ก็กำเริบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุก็ดึงสติที่เหลืออยู่ของผมให้หลุดลอยไป
ผมฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล ได้ยินเสียงโรสกำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผมรู้ได้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาว่าเป็น แม่ของผมเอง
“เธอปล่อยให้เขาไปได้ยังไง เขายังไม่หายดี” แม่ถามน้ำเสียงเอาเรื่อง
“ก็เขายืนยันจะไป ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง” โรสตอบน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน
“แล้วเจ้านั่น ไปดูหลานฉันเล่นละครเวทีอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ ลูกของเขาก็เรียนที่นี่”
“งั้นฉันควรย้ายหลานไปเรียนที่อื่นดีไหม หรือส่งไปเรียนเมืองนอกให้พ้น ๆ แม่อย่างเธอดี ถ้าเรื่องแค่นี้เธอยังจัดการอะไรไม่ได้ ฉันจะเอาหลานไปอยู่ด้วย”
“คุณแม่เอาลูกหนูไปไม่ได้นะคะ แล้วคนที่คุณแม่ควรจะจัดการก็คือลูกของคุณแม่เอง ถ้าคุณแม่ยังเอาเรื่องลูกมาขู่หนูอีก หนูจะบอกความจริงกับเขา”
“นี่เธอ!!!”
“ความจริงอะไรเหรอโรส” ผมถามขึ้น สัมผัสได้ว่าทั้งห้องอยู่ในความเงียบโดยเฉียบพลัน
“...”
“ไม่มีอะไร” โรสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณแม่อยู่เฝ้าปรินส์ไปละกันนะคะ หนูจะไปรับลูกที่โรงเรียน”
ผมพยายามเค้นความจริงกับแม่ แต่แม่ก็เหมือนโรสที่เอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมบอก แม่ยืนกรานจะเอาหลานไปอยู่ด้วยให้ได้ ผมบอกปัดอย่างอ่อนแรง เด็ก ๆ มีความสุขดีและโรสก็ดูแลลูก ๆ เป็นอย่างดี แม่ไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องในครอบครัวผม ผมรู้ว่าแม่โกรธและเสียใจ เพราะแม่จากไปด้วยประโยคที่ว่า
“สักวันนึงแกจะเข้าใจ ว่าที่ฉันทำไปทุกอย่างก็เพื่อแก”
ผมกลับบ้านมาพักฟื้น โรสยังคงทำกิจวัตรประจำวันเช่นเดิม คือกลับบ้านมาจากส่งลูกและหายตัวออกไปอีก ผมทนสงสัยไม่ไหวเลยตัดสินใจแอบตามเธอไปในวันหนึ่ง เธอนัดกับผู้ชายที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อน
ที่ร้านอาหารข้างโรงเรียนทุกวัน กินข้าว พูดคุย และเธอดูมีความสุขมาก ๆ มากกว่าเวลาที่อยู่กับผม
ผมโมโหและไม่เข้าใจ
ที่เธอกำลังทำในสิ่งที่ผมกลัวอยู่รึเปล่านะ...หรือผมควรเชื่อใจเธอให้มากกว่านี้ โรส..คุณมีคนอื่นใช่ไหม
“คุณส่งลูกและออกไปไหนได้เกือบทุกวันโรส” ผมถามขึ้นเพราะทนเก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เธอจะโกหกผมไหม มันจะมีอะไรรึเปล่า
“ไปหาเพื่อน” เธอบอก ไม่ยอมหยุดเดินออกจากบ้าน
“เพื่อนที่ไหน ผมรู้จักไหม” ผมถามเซ้าซี้ อยากรู้ว่าเธอจะบอกผมไหมว่าเธอออกไปพบใคร
“คุณมีปัญหาอะไร!!!” เธอขึ้นเสียง สีหน้ารำคาญผมเสียเต็มประดา
“ทำไม อยู่กับผมมันจะตายรึไง ทำไมคุณต้องออกไปหาเพื่อนคุณทุกวันด้วย”
“ฉันเบื่อ เป็นแม่ฉันก็เหนื่อยจะแย่ ไหนต้องทำตัวเป็นเมียที่แสนดี ดูแลคุณ ดูแลงานที่สตูดิโอของคุณอีก ฉันจะไปหาเพื่อนไม่ได้เลยรึไง”
“แต่คุณออกไปเกือบทุกวัน เป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว” เธอร้องเหอะ คุณสังเกตด้วยเหรอและขับรถออกไปอย่างไม่ใยดี
ผมรอเวลาและตามเธอไป เธออยู่ที่เดิมกับคนเดิม แต่วันนี้เธอกำลังร้องไห้ ผมเข้าไปใกล้พอให้ได้ยินเสียง
“ฉันไม่ไหวแล้ว” เพื่อนของเธอเอามือจับบ่า
“ถ้าคุณคิดจะอยู่คุณต้องลืม” เขาบอก
ลืมอะไร!!!
“คุณกำลังทำให้เขาสงสัย”
พวกเขาปิดบังอะไรไว้!!!
“ฉันอยู่...เพื่อลูก”
เพื่อลูกอีกแล้ว
“คุณกำลังทำให้ตัวเองเสียทุกอย่างไป แม้กระทั่งลูก ถ้าคุณคิดจะอยู่เพื่อลูกคุณต้องลืมและกลับไปใช้ชีวิตแต่งงานเหมือนเดิม ก่อนเรื่องวันนั้น...”
“แต่ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว” เธอกอดเขาและเขากอดตอบ
“ผมรู้ผมเข้าใจ”
“ฉันอยากให้มัน...กรี๊ดดด”
ผลัวะ!!! ไม่รู้ว่าผมเดินออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หมัดของผมเหวี่ยงเข้าใส่หน้าไอ้ผู้ชายคนนั้นไม่ยั้ง โดยไม่ทันคิดว่ามันน่าแปลกที่เขายืนนิ่งให้ผมต่อย โรสพยายามเข้ามาห้ามและได้ผลเมื่อเธอตบผม
เพี้ยะ!!!
“คุณตบผมทำไม คุณนอกใจผมเหรอโรส”
“ฉันนี่เหรอนอกใจคุณ” เธอตวาด
“ผมจับได้คาหนังคาเขา คุณยังจะหลอกผมอีก คุณออกมาหาไอ้หมอนี่เกือบทุกวัน โทรคุยกันอีกเกือบทุกคืน คุณมีอะไรทุกข์ใจหนักหนา ผมถามคุณก็ไม่ตอบ คุณจะเอายังไงกันแน่ คุณบอกว่าคุณไม่รัก ผมแล้ว แต่คุณอยู่เพื่อลูก ผมจะบอกคุณให้นะ ถ้าคุณจะไปคุณก็ไป แต่คุณก็อย่าหวังว่าคุณจะได้เห็นหน้าลูกอีกเล...ย”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ หมัดหนัก ๆ ก็สวนกลับใส่หน้าโดยไม่ทันตั้งตัว ผมเซถลาลงไปกับพื้น
หัวกระแทกกระถางต้นไม้สักกระถางแถว ๆ นั้น
“เราหย่ากันเถอะโรส”
“คุณพูดอะไรออกมา” โรสเอ่ยกับผมเสียงสั่น ผมถือใบหย่าอยู่ในมือ
“เซ็นให้ผมเถอะ ผมรู้แล้วว่าผมต้องการอะไร” ผมจับมือโรส วางใบหย่าลงในมือเธอและเดินกลับไปขึ้นรถ ในรถมีร่างหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ ผมขึ้นรถคันนั้นแล้วขับออกไป วันนั้นฝนตกหนักรถสิบล้อแหกโค้งมาชนรถผม รถตีลังกาพลิกคว่ำไปมาอยู่หลายที ผมพยายามเอื้อมมือไปจับมือของคนที่นั่งมาข้างกัน แต่ผมก็สลบไปเสียก่อน
ปรินส์ ปรินส์ ตื่นเถอะ ปรินส์
“ปรินส์ ปรินส์ ตื่นเถอะ ปรินส์ คุณเป็นยังไงบ้าง”
เสียงโรสดังแว่วเข้ามา เลือนลางซ้อนทับเสียงหนึ่งที่เอ่ยเรียกชื่อผมเหมือนกันในความฝัน ผมลืมตาขึ้นในโรงพยาบาล โรสกับเพื่อนของเธอยืนอยู่ข้างเตียง ผู้ชายคนนั้นสีหน้าไม่ดี หัวผมกระแทกกระถางจนสลบไป แต่ตอนที่สลบผมฝันเห็นเหตุการณ์ช่วงรถคว่ำ ผมสับสนแทบไม่อยากเชื่อ นี่ผมเป็นคนขอโรสหย่าเองหรือ
“ผมขอคุณหย่าก่อนรถคว่ำใช่ไหมโรส” ผมถาม อยากรู้ความจริง
“จริง ๆ แล้วคนที่มีคนอื่นคือตัวผมอย่างงั้นสิ”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน” ผมเอ่ยถามโรส
“ฉันว่าคุณควรพั..ก”
“บอกผมมาเถอะโรส ผมอยากรู้ความจริง”
“ผมจะเล่าให้ฟัง” เสียงหนึ่งพูดแทรก โรสค้านเสียงแข็ง แต่เขาว่า เขาจะเล่าให้ฟังแค่ในส่วนของเขา เธอจึงเงียบและปล่อยให้เขาพูด
“ผมและโรสเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนและโรสแนะนำผมให้คุณ ผมเป็นเลขาของคุณ ช่วง 3 ปีก่อนที่คุณจะประสบอุบัติเหตุ ผมมีหน้าที่ทำรายงานประชุม คอยเคลียร์คิว ซื้อตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม และทำงานเอกสารตามคุณสั่ง ผมถูกขอให้ออกจากบริษัท หลังจากหมอวินิจฉัยว่าคุณความจำเสื่อม”
“ใครขอให้คุณออก”
“คุณแม่ของคุณ”
แม่ อีกแล้ว
ดูเหมือนความลับทั้งหมดจะมีจุดเริ่มจ้นจากแม่ แม่ของผมบงการทุกอย่าง...ทุกคน
“แล้วคุณรู้อะไรอีกบ้างบอกผมที บอกผมให้หมด ทำไมทุกคนต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่มันมี ผมรู้มาถึงขนาดนี้แล้วเล่าให้ผมฟังเถอะ” โรสถอนหายใจและพูดขึ้นว่า
“คุณแม่ขู่จะเอาลูกไป ถ้าคุณรู้ความจริง โรสไม่มีทางเลือก”
และ “ลูก” ดูเหมือนจะเป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างนึง
“โรส ไม่มีใครเอาลูกของเราไปได้หรอก บอกความจริงผมมาเถอะ ผมรับปากว่าจะไม่ให้ใครเอาลูกไปจากคุณ” ในที่สุด โรสและเพื่อนของเธอก็ยอมเล่าเรื่องทุกอย่าง แบบคร่าว ๆ โดยไม่ยอมลงรายละเอียดให้ฟัง แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้อะไรมากมายและสิ่งสุดท้ายที่ผมได้มาจากพวกเขาคือหมุดใน GPS
ผมมองแผนที่ใน GPS ไม่แน่ใจนักว่ามันจะนำพาไปที่ไหน แต่กัปตันและโรสเล่าให้ผมฟังเพียงคร่าว ๆ ว่า ผมนอกใจภรรยาของตัวเองมากว่าสามปี ไม่มีใครยอมบอกรูปพรรณสัณฐานของผู้หญิงคนนั้น โรสไม่ยอมแม้จะบอกชื่อ กัปตันก็เหมือนกัน คุณจะรู้เอง เขาว่า
ผมคบกับคน ๆ หนึ่งที่เชียงใหม่ ถึงขนาดซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ไว้ที่นั่น คนคนนั้นเป็นนักเขียนที่มาติดต่องานที่สตูดิโอของผมและผมกับเขาคุยกันถูกคอมาก โรสเล่าว่า คงเป็นเพราะความชื่นชอบในการดูดาว ผมถึงขึ้นไปดูดาวที่เชียงใหม่บ่อย ๆ และไปกับคนคนนี้ตลอด
“แล้วคุณก็ให้ผมไปกับผู้หญิงอื่นสองต่อสองเนี่ยนะโรส คุณคงไว้ใจผมมากจริง ๆ ” ผมพูดด้วยความสำนึกผิด “ขอโทษที่ทำลายความไว้ใจของคุณ” โรสยิ้มขมขื่น “ไม่มีใครแม้กระทั่งตัวคุณรู้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ “เชื่อเถอะ ความจริงมันยากเกินจะรับไหว”
ผมขึ้นเครื่องบินมายังเชียงใหม่เพียงคนเดียว เช่ารถพร้อมคนขับโดยมี GPS นำทางไปยังที่หมาย
มันคือบ้านที่ผมซื้อเมื่อสามปีก่อน แต่ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยซื้อบ้านเอาไว้ ผมนั่งรถกว่า 1 ชั่วโมง
จากท่าอากาศยานเชียงใหม่มายังอำเภอแม่ริม รถจอดที่หน้าบ้านหลังเล็กขนาดสองห้องนอน หน้าบ้านมีสวนดอกกุหลาบสีแดง บ้านดูเงียบเหงามาก ผมลงจากรถไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดประตูรั้วสีขาวเตี้ย ๆ เข้าไปไหม จังหวะเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูเดินออกมาจากบ้านพอดี เธอสวยแต่ดูแก่กว่าผมหลายปี
เธอยิ้มทักทายทั้งน้ำตาเมื่อเพ่งมองมาที่ผมนานมากพอ จนรู้ว่าเป็นใคร
“ในที่สุดคุณก็มา” ผมเดินตรงไปหาเธอ
“คุณเองเหรอ…” ผมถามเสียงแผ่ว “เราเคยคบกันใช่ไหม”
“คุณจำไม่ได้”
“ยังไม่ทั้งหมด”
“ไม่ใช่ฉันหรอกค่ะ คนที่คุณตามหา ถ้าคุณไม่รังเกียจฉันจะพาคุณไปหา...คนคนนั้น” เธอจูงมือผมพามายังสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยสวนดอกกุหลาบสีแดง ผมนึงถึงประโยคหนึ่งในหนังสือเจ้าชายน้อย
“เธอสวยอยู่หรอกแต่เธอไม่มีความหมาย...ไม่มีใครยอมตายเพื่อเธอ” เพราะกุหลาบเหล่านั้น ไม่ใช่ดอกกุหลาบเพียงหนึ่งเดียวของเขา ที่เขาเฝ้าถนอมรถน้ำ...
ผมเดินตามเธอไปจนพบบางสิ่งในครรลองสายตา ป้ายหลุมศพแบบฝรั่งที่อยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบไปด้วยดอกกุหลาบ
“อย่าบอกนะว่า…”
“อุบัติเหตุเมื่อ 7 เดือนก่อน พวกคุณนั่งรถกันไปตอนฝนตก มีรถสิบล้อแหกโค้งมาชน คุณความจำเสื่อมส่วนน้องของฉันตาย…น้องของฉันชอบหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยมาก มันเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเป็นนักเขียน หนังสือเล่มใหม่ของเขายังเขียนไม่ทันจบ เขาก็มาด่วนจากไป”
“ไปเถอะค่ะ ไปหาเขา แต่ฉันหวังว่า...คุณจะไม่ใช้แค่ดวงตาในการมอง เขารอคุณอยู่”
“คุณหมายความว่ายังไง” เธอไม่ตอบแต่แตะให้ผมออกเดิน โดยที่เธอไม่ได้เดินตามมาด้วย ผมได้ยินเสียงเธอเอ่ยแผ่วเบาไล่หลังมา “สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยดวงตา แต่รับรู้ได้ด้วยหัวใจ”
ผมเดินตรงไปยังหลุมฝั่งศพอย่างใจลอย ภาพความทรงจำที่ไม่ปะติปะต่อแล่นเข้ามา ผมเคยนอนหนุนตักใครคนนั้นอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟังเขาอ่านเจ้าชายน้อยท่ามกลางสวนกุหลาบของเรา เขาทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยและเป็นตัวเอง ผมหลุดจากภวังค์ตอนเดินมาถึงป้ายหลุมศพ นั่งยอง ๆ อ่านชื่อใครคนนั้น หัวใจของผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความจริงทำให้ผมแทบเป็นบ้า แต่ว่า...มันก็มาพร้อมกับความทรงจำตลอดสามปีที่หายไปของผม บางส่วน...แค่เพียงบางส่วน ที่ป้ายนั้นเขียนชื่อเอาไว้
นาย กุพชก เกียรติวาริน
“แล้วเจ้าชายน้อยได้กลับไปหาดอกกุหลาบของเขาไหม”
“ไม่รู้สิ มันยังเป็นปริศนาอยู่”
“น่าสงสารจัง”
“นั่นสิ แต่การจากมามันทำให้เขาได้รู้ว่า ดอกกุหลาบดอกนั้นเป็นดอกกุหลาบเพียงหนึ่งเดียวของเขา
แค่นั้นก็พอแล้วมั้ง”
“อื้อ แค่นั้นก็คงพอแล้ว”
เรื่องสั้น แนวโรแมนติก
ผู้แต่ง เศวตราภรณ์ ไอศุริยเอกสกุล
Comments